อาการท้องเสีย คืออะไร
อาการ ท้องเสีย คือ ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำบ่อยครั้งกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังก็ได้ โดยทั่วไปแล้ว ท้องเสียมักเกิดจากความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร เช่น การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต การแพ้อาหาร การกินอาหารไม่สะอาด หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิด
ตอนที่ 1 : ท้องเสีย เกิดจากอะไร
ตอนที่ 2 : ท้องเสีย มีกี่ประเภท
ตอนที่ 3 : วิธีรักษาท้องเสีย
ตอนที่ 4 : ท้องเสีย ควรกินอะไร
ตอนที่ 5 : สรุป
ท้องเสีย เกิดจากอะไร
1.) การติดเชื้อ
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด หรือจากการสัมผัสสิ่งปนเปื้อนแล้วนำเข้าปาก
- เชื้อไวรัส: เช่น โรต้าไวรัส (Rotavirus) และโนโรไวรัส (Norovirus) เป็นสาเหตุหลักของอาการท้องเสียในเด็กและผู้ใหญ่
- เชื้อแบคทีเรีย: เช่น อีโคไล (E. coli), ซัลโมเนลลา (Salmonella), และแคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter) มักมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่สุกหรือไม่สะอาด
- เชื้อปรสิต: เช่น ไกอาเดีย (Giardia) และคริปโตสปอริเดียม (Cryptosporidium) สามารถปนเปื้อนในน้ำและอาหารได้
2.) อาหารและยา
- อาหารเป็นพิษ: การรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือสารพิษ
- การแพ้อาหาร: ร่างกายไม่สามารถย่อยหรือตอบสนองต่ออาหารบางชนิด เช่น นมวัว ถั่วเหลือง หรือกลูเตน
- การรับประทานอาหารที่ย่อยยาก: อาหารที่มีไขมันสูง หรืออาหารรสจัด อาจทำให้ระบบทางเดินอาหารระคายเคือง
- ยาบางชนิด: เช่น ยาปฏิชีวนะ อาจรบกวนสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
3.) โรคประจำตัว
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease – IBD): เช่น โรคโครห์น (Crohn’s disease) และโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Ulcerative colitis)
- โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome – IBS): แม้ว่าจะไม่ใช่อาการท้องเสียโดยตรง แต่ผู้ป่วย IBS อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
- โรคซีลิแอค (Celiac disease): ภาวะแพ้กลูเตนในอาหารจำพวกแป้งสาลี
- ภาวะขาดเอนไซม์ในการย่อยอาหาร: ทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิดได้อย่างสมบูรณ์
4.) สาเหตุอื่นๆ
- ความเครียดและความวิตกกังวล: ระบบประสาทและทางเดินอาหารมีความเชื่อมโยงกัน ความเครียดอาจส่งผลต่อการทำงานของลำไส้
- การเดินทาง: การเปลี่ยนแปลงอาหารและสภาพแวดล้อมอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียที่เรียกว่า “ท้องเสียจากการเดินทาง” (Traveler’s diarrhea)
ท้องเสีย มีกี่ประเภท
1.) ท้องเสียเฉียบพลัน (Acute Diarrhea)
ระยะเวลา: ไม่เกิน 14 วัน
อาการร่วม: ปวดบิด อาเจียน มีไข้ อ่อนเพลีย
สาเหตุที่พบบ่อย:
- ติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจากอาหาร/น้ำไม่สะอาด
- แพ้อาหารหรืออาหารเป็นพิษ
- ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาที่มีผลต่อลำไส้
✅ ส่วนใหญ่หายได้เองเมื่อดูแลตัวเองถูกวิธี
2.) ท้องเสียเรื้อรัง (Chronic Diarrhea)
ระยะเวลา: เกิน 4 สัปดาห์ขึ้นไป
สาเหตุที่พบบ่อย:
- โรคทางลำไส้ เช่น IBD (Crohn’s, Ulcerative Colitis)
- การดูดซึมผิดปกติ เช่น แพ้แลคโตส, กลูเตน
- โรคเกี่ยวกับตับ ตับอ่อน ไทรอยด์
- การใช้ยาระยะยาว
❗ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด
3.) ท้องเสียจากสารอาหารไม่สมดุล (Malabsorption Diarrhea)
ลักษณะ: ถ่ายเหลวบ่อย มีไขมันปน อาจมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
แนวทางรักษา: ปรับอาหาร รักษาต้นเหตุ
สาเหตุที่พบบ่อย:
- ลำไส้ดูดซึมสารอาหารไม่ได้ เช่น จากการผ่าตัด หรือแพ้อาหาร
- ขาดเอนไซม์ช่วยย่อย เช่น แพ้แลคโตส
4.) ท้องเสีย จากการติดเชื้อ (Infectious Diarrhea)
ลักษณะ: ถ่ายเหลว อาจมีมูกเลือด ปวดท้องบิด
แนวทาง: พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ อาจต้องใช้ยาเฉพาะกรณี
สาเหตุที่พบบ่อย:
- เชื้อไวรัส เช่น Norovirus, Rotavirus
- เชื้อแบคทีเรีย เช่น Salmonella, E. coli
- ปรสิต เช่น Giardia
วิธีรักษาท้องเสีย
การรักษาอาการท้องเสียขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการครับ แต่โดยรวมแล้ว มีแนวทางดู หวยไว และดูแลและรักษาเบื้องต้นได้ดังนี้
1.) ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ท้องเสียทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ น้ำเกลือแร่ ORS (Oral Rehydration Salts) ช่วยทดแทนแร่ธาตุที่สูญเสีย น้ำซุปหรือน้ำผลไม้ใสก็ช่วยได้ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม
2.) รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย : เลือกกินอาหารที่อ่อน ไม่ระคายเคืองกระเพาะ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก กล้วยต้ม ขนมปังปิ้ง แครกเกอร์ ไข่ต้ม ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ควรหลีกเลี่ยงของมัน ของทอด นมสด อาหารรสจัด อาหารหมักดอง
3.) ยารักษาท้องเสีย : ยาหยุดถ่าย เช่น Loperamide (กินเมื่อถ่ายบ่อยมากและต้องการลดอาการเร่งด่วน) ไม่แนะนำใช้หากมีไข้หรือถ่ายมีมูกเลือด , ยาฆ่าเชื้อ หากแพทย์วินิจฉัยว่าเกิดจากแบคทีเรีย เช่น Norfloxacin หรือ Ciprofloxacin หรือ ยาบรรเทาอาการอื่นๆ ยาแก้ปวดท้อง ยาลดกรด เป็นต้น
4.) พักผ่อนให้เพียงพอ : ร่างกายที่อ่อนเพลียจะฟื้นตัวช้ากว่าเดิมการนอนหลับพักผ่อนเพียงพอช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
5.) เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์? : ถ่ายเหลวนานเกิน 2 วัน (ในผู้ใหญ่) หรือมากกว่า 24 ชม.ในเด็ก ถ่ายมีมูกเลือดหรือสีดำ มีไข้สูง อาเจียนตลอดเวลา ปากแห้ง มือเท้าเย็น ปัสสาวะน้อย (สัญญาณขาดน้ำ) ท้องเสียเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์
ท้องเสีย ควรกินอะไร
เมื่อ ท้องเสีย ควรเลือกกินอาหารที่ อ่อน ย่อยง่าย และไม่กระตุ้นการระคายเคืองลำไส้ เพื่อช่วยให้ระบบย่อยกลับมาทำงานได้ดีขึ้นพร้อมลดอาการถ่ายเหลวครับ
อาหารที่ควรกินเมื่อ ท้องเสีย
✅ ข้าว แป้ง เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวสวยนิ่ม ขนมปังปิ้ง แครกเกอร์
✅ โปรตีนย่อยง่าย เช่น ไข่ต้ม (ไม่มัน), ปลา/ไก่ต้มไม่ติดมัน, เต้าหู้อ่อน
✅ ผัก/ผลไม้ที่ไม่มีกากมาก เช่น ฟักทองต้ม แครอทต้ม กล้วยน้ำว้าสุก แอปเปิ้ล (ไม่เปรี้ยว)
✅ ของเหลว เช่น น้ำเปล่า น้ำซุปใส น้ำเกลือแร่ ORS น้ำต้มขิง (อุ่น)
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
❗ นมวัว และผลิตภัณฑ์จากนม (อาจย่อยยาก)
❗ ของทอด ของมัน
❗ อาหารเผ็ดจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด
❗ ผักดิบ ผลไม้ที่มีกากเยอะ (เช่น มะละกอ ฝรั่ง)
❗ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม
❗ ขนมหวาน น้ำตาลสูง (อาจกระตุ้นให้ถ่ายมากขึ้น)
สรุป
อาการท้องเสีย ไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันเป็นภัยร้ายที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด การท้องรุนอย่างรุนแรงส่งผลร้ายตามมาเยอะแยะไปหมด และยิ่งอากาศร้อนๆก็อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองดีๆเลือกกินอาหารที่ปรุงสุกเพื่อป้องกันท้องด้ร่วงด้วยนะครับ